ค่าใช้จ่ายในการฝากไข่ปี 2568: ปัจจัยราคา วิธีเตรียมตัว และแนวทางวางแผนงบประมาณ

บทนำ: ทำไมปี 2568 ผู้หญิงไทยจำนวนมากจึงเริ่มวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายในการฝากไข่
ในปี 2568 แนวโน้มการวางแผนมีบุตรแบบยืดหยุ่นกำลังเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงวัยทำงานที่ต้องการจัดการเส้นทางอาชีพ ควบคู่กับการรักษาคุณภาพของรังไข่ในช่วงที่ร่างกายยังแข็งแรง การ “ฝากไข่” จึงกลายเป็นหนึ่งในการลงทุนทางสุขภาพที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทุกปี ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการมีบุตรในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสบายใจ ให้มี “ตัวเลือก” ตามจังหวะชีวิตที่เหมาะสมที่สุด
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้หญิงเกือบทุกคนตั้งคำถามคือ
“ค่าใช้จ่ายในการฝากไข่จริงๆ อยู่ที่เท่าไหร่?”
“ปี 2568 มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง?”
“ต้องเตรียมงบประมาณและเตรียมตัวอย่างไรให้ไม่บานปลาย?”
บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียด ครอบคลุมทุกมุมมองเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ปัจจัยที่ทำให้ราคาสูง–ต่ำแตกต่างกัน วิธีวางแผนงบประมาณ และข้อแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นตัดสินใจฝากไข่ เหมาะสำหรับผู้อ่านที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก พร้อมนำไปประกอบการวางแผนอย่างมืออาชีพ
1. ค่าใช้จ่ายในการฝากไข่ปี 2568 อยู่ที่เท่าไหร่?
ปี 2568 ค่าใช้จ่ายในการฝากไข่ในประเทศไทยมีความแตกต่างตามโรงพยาบาล แพทย์เฉพาะทาง ยาที่ใช้ และจำนวนวันที่ต้องกระตุ้นไข่โดยรวมแล้ว “ค่าใช้จ่ายต่อรอบ” มีช่วงราคาดังนี้
ราคาการฝากไข่ (ปี 2568)
- รอบละประมาณ 120,000 – 220,000 บาท
(รวมค่ายากระตุ้นไข่, ค่าแพทย์, ค่าตรวจเลือดติดตามผล, ค่าเก็บไข่, แช่แข็งไข่ปีแรก)
ซึ่งต้องเน้นว่า “ค่ายา” เป็นส่วนที่ทำให้ราคาต่างกันมากที่สุด เพราะบางคนใช้ยาไม่เยอะ แต่บางคนต้องใช้ยาเพิ่มหรือใช้ยาชนิดพิเศษตามอายุและสภาพรังไข่
ค่าใช้จ่ายรายปีหลังแช่แข็งไข่ (Storage Fee)
- ปีละ 5,000 – 10,000 บาท
ขึ้นอยู่กับจำนวนไข่และนโยบายของคลินิก
ค่าใช้จ่ายอื่นที่อาจเกิดขึ้น
- ค่าตรวจสุขภาพเบื้องต้น: 2,000 – 8,000 บาท
- ค่ายาก่อนเริ่มรอบ (ถ้าจำเป็น): 1,000 – 5,000 บาท
เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว ผู้หญิงจำนวนหนึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายต่อรอบประมาณ 130,000 – 250,000 บาท ขึ้นอยู่กับร่างกายและการตอบสนองต่อยา
2. ปัจจัยที่มีผลต่อราคา: ทำไมบางคน 120,000 บาท แต่บางคนอาจเกือบ 250,000 บาท?
ค่าใช้จ่ายในการฝากไข่แตกต่างกันมาก โดยปัจจัยหลักแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มดังต่อไปนี้
2.1 อายุของผู้ฝากไข่
อายุจัดเป็น “ตัวกำหนดต้นทุน” ที่สำคัญที่สุด เพราะอายุมีผลต่อทั้งจำนวนไข่และปริมาณยาที่ต้องใช้
- อายุ ต่ำกว่า 30 ปี มักใช้ยาน้อย → ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเฉลี่ย
- อายุ 30–35 ปี ระดับกลาง ใช้ยาปานกลาง → ค่าใช้จ่ายอยู่ในช่วง 140,000–180,000
- อายุ 35–40 ปี มักต้องเพิ่มยา กระตุ้นหลายวัน → ค่าใช้จ่ายอาจขึ้นถึง 180,000–230,000
- อายุ 41 ปีขึ้นไป ต้องกระตุ้นยามากขึ้น และบางครั้งต้องทำมากกว่า 1 รอบ → ราคาอาจสูงกว่าปกติ
สาเหตุเพราะ “รังไข่ตอบสนองต่อยาได้ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น” ทำให้การกระตุ้นไข่ต้องใช้ยามากขึ้น และมีความเสี่ยงที่ต่อรอบจะได้ไข่จำนวนน้อยกว่าวัย 20–30 ปี
2.2 ปริมาณยาที่ใช้ (ค่ายา FSH, LH, Trigger ฯลฯ)
ค่ายาเป็นส่วนที่แพงที่สุดในกระบวนการฝากไข่ โดยปกติอาจคิดเป็น 40–60% ของต้นทุนทั้งหมด
ตัวแปรที่มีผลต่อค่ายา ได้แก่
- ค่า AMH สูงหรือต่ำ
- โรคประจำตัว เช่น ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
- อายุ
- น้ำหนักตัว
- การตอบสนองต่อยารอบเก่า หากเคยทำมาก่อน
ผู้หญิงบางคนใช้ยามูลค่าเพียง 30,000–50,000 บาท แต่บางคนอาจต้องใช้ถึง 80,000–120,000 บาท ซึ่งทำให้ราคาต่างกันหลายหมื่นบาท
2.3 ค่าตรวจเลือดและอัลตราซาวด์ติดตามผล
ระหว่างกระตุ้นไข่ 10–12 วัน ต้องตรวจเลือดหลายครั้ง ค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งที่ตรวจ
- การตรวจแต่ละครั้งอาจอยู่ที่ 1,000–2,500 บาท
- โดยรวมอาจใช้ 5,000–12,000 บาทต่อรอบ
คลินิกบางแห่งรวมค่าเหล่านี้ในแพ็กเกจแล้ว แต่บางแห่งคิดแยกเป็นรายครั้ง
2.4 ค่าเก็บไข่ (Oocyte Retrieval)
ราคานี้ขึ้นกับปัจจัย 3 อย่าง:
- ค่าศัลยแพทย์เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
- ทีมวิสัญญี
- ค่าห้องผ่าตัดมาตรฐาน IVF
โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 20,000–40,000 บาท
คลินิกที่มีชื่อเสียงหรือใช้เทคโนโลยีห้องปฏิบัติการระดับสูง อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
2.5 ค่าแช่แข็งไข่และค่าฝากรักษารายปี
การแช่แข็งไข่ด้วยเทคโนโลยี Vitrification มีราคาประมาณ 15,000–30,000 บาท
ส่วนค่าฝากไข่ต่อปีอยู่ที่ 5,000–10,000 บาท
จำนวนไข่ที่เก็บได้มากขึ้นอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม บางคลินิกจะคิดตามจำนวนใบไข่ที่แช่แข็ง เช่น
- 1–10 ใบ ราคาเท่าเดิม
- 11–20 ใบ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเล็กน้อย
3. การเตรียมตัวก่อนเริ่มฝากไข่: ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้จริง
แม้ค่าใช้จ่ายหลายส่วนจะเป็นต้นทุนทางการแพทย์ที่ต้องจ่ายตามจริง แต่ผู้หญิงสามารถ “ลดค่าใช้จ่ายทางอ้อม” ได้ด้วยการเตรียมตัวให้ร่างกายพร้อมที่สุดก่อนเริ่มรอบฝากไข่
3.1 ตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อนเริ่มกระบวนการ
แนะนำให้ตรวจเลือดและฮอร์โมนดังนี้
- AMH
- FSH, LH
- Estrogen
- Thyroid
- น้ำตาล
- ไขมัน
- CBC
หากพบปัญหาบางอย่างตั้งแต่ต้น เช่น ไทรอยด์ผิดปกติ ฮอร์โมนไม่สมดุล หรือภาวะซีสต์รังไข่ การแก้ไขก่อนเริ่มกระบวนการจะช่วยให้รังไข่ตอบสนองต่อยาได้ดีขึ้น ลดจำนวนวันที่ต้องใช้ยา และลดค่าใช้จ่ายตามไปด้วย
3.2 ดูแลสุขภาพ 1–3 เดือนก่อนเริ่ม
การเตรียมตัวล่วงหน้าช่วยเพิ่มคุณภาพไข่และช่วยให้ได้ไข่มากขึ้นในรอบเดียว (ทำให้คุ้มค่ากว่า) เช่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ลดคาเฟอีน
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- บำรุงด้วยวิตามินตามคำแนะนำแพทย์ เช่น CoQ10 หรือ Omega-3
3.3 รักษาน้ำหนักให้สมดุล
BMI ที่เกินมาตรฐานทั้ง “ผอมเกินไป” หรือ “อ้วนเกินไป” อาจทำให้ต้องใช้ยากระตุ้นไข่มากขึ้น ส่งผลต่อค่ายาที่สูงขึ้น
3.4 จัดตารางเวลาให้เหมาะสม
โปรแกรมกระตุ้นไข่ต้องใช้เวลา 10–12 วัน และต้องอัลตราซาวด์ติดตามบ่อย
การวางแผนตารางงานล่วงหน้าช่วยลดค่าใช้จ่ายที่มาจากการเลื่อนรอบ หรือการตรวจซ้ำเกินความจำเป็น
4. วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าใช้จ่าย: ถ้าฝากไข่ตอนอายุ 30 กับ 35 ต่างกันแค่ไหน?
ข้อมูลนี้ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรเริ่มเมื่อไหร่ดีที่สุด
หญิงอายุ 30 ปี
- ใช้ยาน้อยกว่า
- ได้ไข่มากกว่าในหนึ่งรอบ
- คุณภาพไข่ดี
⇒ ค่าใช้จ่ายอาจอยู่ที่ 130,000–160,000 บาท
หญิงอายุ 35 ปี
- ใช้ยาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- ปริมาณไข่ลดลงจากอายุ 30
- อาจต้องทำ 1–2 รอบเพื่อเก็บไข่ให้พอสำหรับการวางแผนมีบุตร
⇒ ค่าใช้จ่ายประมาณ 150,000–180,000 บาท
หญิงอายุ 38–40 ปี
- ต้องใช้ยามากที่สุด
- คุณภาพไข่ลดลง ทำให้บางคนต้องทำ 2–3 รอบ
- โอกาสเก็บไข่น้อยต่อรอบ
⇒ ค่าใช้จ่ายรวมอาจสูงถึง 200,000–400,000 บาทขึ้นไป (ตามจำนวนรอบ)
5. ค่าใช้จ่ายตามจำนวนรอบ: ต้องทำกี่รอบถึงจะเพียงพอ?
การฝากไข่ “รอบเดียว” ไม่ได้หมายความว่าจะเพียงพอสำหรับการตั้งครรภ์เสมอไป เพราะจำนวนไข่ที่ต้องการขึ้นกับอายุในวันที่จะนำไข่มาใช้
จำนวนไข่ที่แนะนำ (ตามช่วงอายุเมื่อนำไปใช้)
- ใช้ตอนอายุ 35 ปี: 8–12 ใบ
- ใช้ตอนอายุ 35–38 ปี: 12–20 ใบ
- ใช้ตอนอายุ 38 ปี: 20–30 ใบ
ดังนั้น…
- ถ้าอายุ 30–33 ปี ส่วนใหญ่เก็บได้ 10–18 ใบต่อรอบ → 1 รอบอาจเพียงพอ
- ถ้าอายุ 35–37 ปี ส่วนใหญ่เก็บได้ 6–12 ใบต่อรอบ → อาจต้อง 1–2 รอบ
- ถ้าอายุ 38–40 ปี อาจได้เพียง 3–8 ใบต่อรอบ → อาจต้อง 2–3 รอบ
ดังนั้นค่าใช้จ่ายรวมควรวางแผนตามจำนวนรอบที่อาจต้องทำ ไม่ใช่แค่รอบเดียว
6. แนวทางวางแผนงบประมาณแบบมืออาชีพ
เพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายบานปลาย คุณสามารถวางแผนตามแนวทางด้านล่างนี้
6.1 ตั้งงบประมาณขั้นต่ำ–สูงสุดที่รับได้
ตัวอย่างเช่น
- งบขั้นต่ำรอบเดียว: 130,000 บาท
- งบสำรองเผื่อรอบที่ 2: +120,000 บาท
- งบฝากรักษารายปี: +5,000–10,000 บาท
ทำให้สามารถประเมินภาพรวมจริงได้ชัดเจน
6.2 เช็กแพ็กเกจแบบรวมทุกอย่าง (All-in-One)
บางคลินิกมีแพ็กเกจแบบรวมยา บางที่ไม่รวม ต้องเช็กให้ละเอียดที่สุดก่อนตัดสินใจ
คำถามสำคัญที่ควรถาม:
- รวมค่ายาไหม?
- รวมค่าตรวจเลือดทั้งหมดไหม?
- หากใช้ยาเพิ่ม คิดอย่างไร?
- เงินฝากไข่รายปีราคาต่อปีเท่าไหร่?
6.3 ใช้ประวัติสุขภาพเดิมในการประเมินรอบที่จะต้องทำ
- หากเคยตรวจ AMH แล้วพบค่าสูง → น่าจะใช้ยาน้อย
- หากมีประวัติ PCOS → ได้ไข่จำนวนมาก
- หากเคยผ่าตัดรังไข่ → ปริมาณไข่ลดลง
ทั้งหมดนี้มีผลต่อ “จำนวนรอบที่ต้องทำ” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายรวม
6.4 วางแผนล่วงหน้า 6–12 เดือน
เพื่อเตรียมเงินให้พร้อมโดยไม่กระทบเงินเก็บก้อนอื่น
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องทำมากกว่า 1 รอบ
7. มุมมองการลงทุน: ฝากไข่เป็นค่าใช้จ่ายหรือเป็น “ทรัพย์สินด้านเวลา”?
ในมุมของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ การฝากไข่ไม่ใช่การจ่ายเงินเพียงอย่างเดียว แต่ถือเป็น “การเก็บไข่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต” เพื่อใช้ในวันข้างหน้าที่อาจไม่พร้อมทางร่างกายหรืออายุ
มูลค่าของไข่ในปัจจุบันจึงเป็นต้นทุนที่สามารถ “ป้องกันความเสี่ยง” ได้ เช่น
- ลดโอกาสต้องทำเด็กหลอดแก้วหลายรอบในอนาคต
- ลดโอกาสเกิดภาวะโครโมโซมผิดปกติ
- เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์จากไข่ในช่วงอายุที่ดีที่สุด
เมื่อมองในภาพรวม ค่าใช้จ่ายจริงอาจคุ้มค่ากว่าการพยายามมีบุตรตอนอายุที่มากขึ้น ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาอื่นๆ เพิ่มอีกหลายขั้นตอน
8. แล้วต้องเก็บไข่ไว้กี่ปีถึงจะเหมาะสม? ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มมากขึ้นไหม?
การแช่แข็งไข่สามารถอยู่ได้นานหลายปีโดยไม่ลดคุณภาพ
สรุปข้อเท็จจริงที่ควรรู้:
- คุณภาพไข่ไม่เสื่อมตามเวลาที่เก็บ
- ค่าแช่แข็งรายปีไม่เพิ่มขึ้นมากนัก
- หลายคลินิกมีแพ็กเกจเก็บ 3–5 ปีราคาพิเศษ
ดังนั้นการวางแผนฝากไข่จึงไม่ควรกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายรายปีมากนัก ถือเป็นค่าเก็บรักษาที่อยู่ในระดับไม่สูง
9. สรุปค่าใช้จ่าย “ทั้งหมด” ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ (ปี 2568)
รายการ | ช่วงราคาโดยประมาณ |
ค่ายากระตุ้นไข่ | 30,000 – 120,000 |
ค่าตรวจติดตามผล | 5,000 – 12,000 |
ค่าเก็บไข่ | 20,000 – 40,000 |
ค่าแช่แข็งไข่ | 15,000 – 30,000 |
ค่าฝากไข่รายปี | 5,000 – 10,000 |
ค่าใช้จ่ายต่อรอบรวม | 120,000 – 220,000 |
10. ข้อแนะนำก่อนเริ่มฝากไข่
- เริ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่ตัดสินใจได้ เพื่อให้ได้ไข่จำนวนมากและลดค่าใช้จ่าย
- ตรวจ AMH ก่อน เพื่อประเมินงบประมาณและจำนวนรอบ
- เลือกคลินิกที่โปร่งใสเรื่องค่าใช้จ่าย
- เปรียบเทียบแพ็กเกจอย่างละเอียด
- เตรียมสุขภาพให้พร้อม 1–3 เดือนก่อนเริ่ม
- วางแผนงบประมาณเผื่อมากกว่า 1 รอบ
- อ่านรีวิวและตรวจมาตรฐานห้องแล็บให้ชัดเจน
11. สรุป: ฝากไข่ปี 2568 ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ?
จากข้อมูลทั้งหมด ค่าใช้จ่ายในการฝากไข่ปี 2568 สามารถสรุปได้ดังนี้
- ถ้าคิดเฉพาะ 1 รอบ ควรเตรียมประมาณ 130,000–200,000 บาท
- หากอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรเตรียมเผื่อไว้ประมาณ 240,000–400,000 บาท (2 รอบ)
- ค่าเก็บรักษารายปีอยู่ในระดับ 5,000–10,000 บาท ไม่ได้สูงมาก
ดังนั้นการฝากไข่ไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายในวันนี้ แต่เป็นการสร้าง “โอกาสในการมีบุตรตามเวลาที่ผู้หญิงเลือกเอง” ซึ่งเป็นคุณค่าที่ไม่สามารถประเมินด้วยเงินเพียงตัวเลขเดียวได้